ลูกฟิกซ์หรือมะเดื่อฝรั่งที่เรารู้จักกันนั้น เป็นผลไม้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะคือมีลักษณะคล้ายหยดน้ำ มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ภายในเต็มไปด้วยเมล็ดเล็กๆหลายร้อยเมล็ด และมีเปลือกสีม่วงหรือเขียวซึ่งสามารถรับประทานได้ เนื้อผลไม้มีสีชมพูและมีรสชาติหวานละมุน โดยชื่อทางวิทยาศาสตร์ของมะเดื่อฝรั่งคือ Ficus carica
ในผลและใบของมะเดื่อฝรั่งนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารและให้ประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง อาทิ ช่วยในการส่งเสริมการย่อยอาหารให้ดีมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งในบทความนี้ Fatgirlguides จะพูดถึงประโยชน์และข้อเสียของมะเดื่อฝรั่ง รวมไปถึงให้คำแนะนำง่ายๆในการนำมะเดื่อไปประกอบอาหารต่างๆ
มะเดื่อฝรั่งอุดมไปด้วยสารอาหารจำนวนมากแต่ให้แคลอรี่ค่อนข้างต่ำ ทำให้มะเดื่อฝรั่งเป็นอาหารเสริมที่ดีต่อสุขภาพ
โภชนาการของมะเดื่อฝรั่ง
มะเดื่อสดขนาดเล็ก 1 ผล (40 กรัม) ประกอบไปด้วย
- แคลอรี่ : 30 แคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต : 8 กรัม
- ไฟเบอร์ : 1 กรัม
- ทองแดง : 3% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV)
- วิตามินบี 6 : 3% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV)
- แมกนีเซียม : 2% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV)
- โพแทสเซียม : 2% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV)
- ไรโบฟลาวิน : 2% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV)
- ไทอามีน : 2% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV)
- วิตามินเค : 2% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (DV)
แม้ว่ามะเดื่อสดจะมีแคลอรี่ต่ำและให้วิตามินแร่ธาตุเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเป็นมะเดื่อแห้งแล้วกลับมีปริมาณน้ำตาลและแคลอรี่ที่สูงมาก จึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
ประโยชน์ของมะเดื่อฝรั่ง
#มะเดื่อฝรั่งกับการรักษาอาการท้องผูก
อาการท้องผูกเป็นอาการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติ หรือขับถ่ายไม่ออกเป็นเวลานาน ส่งผลให้อุจจาระแข็งและเคลื่อนตัวลำบาก การรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารน้อยอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท้องผูก ซึ่งมะเดื่อฝรั่งนั้นมักถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการท้องผูก เนื่องจากมะเดื่อมีใยอาหารเป็นจำนวนมาก จึงช่วยในการกระตุ้นการทำงานของทางเดินอาหารให้ดียิ่งขึ้นได้ ส่งผลให้อุจจาระนิ่ม ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น และช่วยบรรเทาอาการแน่นท้อง อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติก (Prebiotic) หรือเป็นแหล่งอาหารสำคัญสำหรับแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ได้อีกด้วย
#มะเดื่อฝรั่งกับการปรับปรุงสุขภาพของหลอดเลือดและหัวใจ
มะเดื่อฝรั่งช่วยในปรับปรุงความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพของหลอดเลือดดีขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ มีการศึกษาหนึ่งพบว่าสารสกัดจากมะเดื่อสามารถลดความดันโลหิตให้กลับมาอยู่ในระดับปกติได้ อีกทั้งยังช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดให้ตำลงอีกด้วย
#มะเดื่อฝรั่งกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นวิธีการรักษาโรคเบาหวาน บางรายอาจต้องใช้สารอินซูลิน ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ใบมะเดื่อฝรั่งประกอบไปด้วยสารเคมีที่อาจช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการศึกษาในด้านดังกล่าว นักวิจัยแนะนำว่าการดื่มชาจากใบมะเดื่อฝรั่งอาจช่วยลดปริมาณการใช้อินซูลิน และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ได้
อีกทั้งในการศึกษาข้างต้นให้ผู้ที่เข้าร่วมการทดลองรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและยังคงได้รับอินซูลินเป็นประจำทุกวัน ดังนั้น ประสิทธิภาพการลดระดับน้ำตาลในเลือดของใบมะเดื่อฝรั่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพดังกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป
#มะเดื่อฝรั่งกับสารต้านอนุมูลอิสระ
นักวิจัยบางส่วนเชื่อว่าเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เซลล์ในร่างกายก็ยิ่งได้รับความเสียหายจากสารอนุมูลอิสระมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นเหตุทีทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา หลายคนเชื่อว่าการรับประทานมะเดื่อฝรั่งสามารถช่วยในการต้านอนุมูลอิสระได้ เนื่องจากมะเดื่อฝรั่งอุดมไปด้วยสารพอลีฟีนอล (Polyphenols) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ซึ่งล้วนเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ โดยสารเหล่านี้จะทำลายโมเลกุลหรือเซลล์ที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงส่งผลดีต่อสุขภาพและอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ จอประสาทตาเสื่อม หรือโรคข้ออักเสบได้อีกด้วย
#มะเดื่อกับการรักษาโรคผิวหนัง
ในอดีตมีการใช้มะเดื่อฝรั่งเพื่อรักษาโรคผิวหนังบางชนิด เช่น กลาก โรคสะเก็ดเงิน และโรคด่างขาว แม้ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดที่ยืนยันประสิทธิภาพของมะเดื่อฝรั่งต่อการรักษาโรคผิวหนังได้อย่างชัดเจน แต่มีการศึกษาหนึ่งชี้ว่า ครีมที่มีส่วนผสมของมะเดื่อฝรั่งส่งผลต่อผิวหนังหลายด้าน เช่น ลดเม็ดสีและรอยแดง เพิ่มความชุ่มชื้น ปรับสมดุลไขมันใต้ผิวหนัง และอาจมีประสิทธิภาพช่วยต่อต้านริ้วรอย กระ สิว และจุดด่างดำได้
รับประทานมะเดื่อฝรั่งอย่างไรให้ปลอดภัย
การรับประทานมะเดื่อฝรั่งทั้งผลสดหรือแบบตากแห้งในปริมาณที่พอเหมาะค่อนข้างปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ และการรับประทานใบมะเดื่อฝรั่งเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคอาจปลอดภัยหากใช้ติดต่อกันไม่เกิน 1 เดือน อย่างไรก็ตาม การบริโภคมะเดื่อฝรั่งมีข้อควรระวัง ดังนี้
- การบริโภคมะเดื่อฝรั่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้และมีปฏิกิริยากับยาบางชนิดได้ ดังนั้น ควรรับประทานแต่ในปริมาณที่พอเหมาะ
- การบริโภคยางมะเดื่อฝรั่งในปริมาณมากอาจทำให้มีเลือดออกที่ทางเดินอาหาร
- มะเดื่อฝรั่งอาจช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย หากรับประทานในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสียได้
- ผู้ที่แพ้ผลไม้ในวงศ์ขนุน (Moraceae) เช่น ขนุน หรือน้อยหน่า อาจแพ้มะเดื่อฝรั่งด้วยเช่นกัน
- การสัมผัสกับผลหรือใบมะเดื่อฝรั่งอาจทำให้ผิวเกิดอาการแพ้และมีผื่นคันได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
- มะเดื่อฝรั่งมีวิตามินเคสูง ซึ่งเป็นวิตามินที่มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ดังนั้น ผู้ที่รับประทานมะเดื่อฝรั่งควรวางแผนปริมาณการบริโภควิตามินเคที่ควรได้รับในแต่ละวัน โดยเฉพาะผู้ที่กำลังใช้ยารักษาที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือดวาร์ฟาริน
- การรับประทานมะเดื่อฝรั่งทั้งผลสดหรือแบบตากแห้งในปริมาณที่พอเหมาะค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์และกำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตร แต่ยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยมากเพียงพอ หากรับประทานเป็นยารักษาโรคในปริมาณมาก
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเฝ้าระวังและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ เนื่องจากการรับประทานมะเดื่อฝรั่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้
- ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานมะเดื่อฝรั่งก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะมะเดื่อฝรั่งอาจทำให้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้
คำแนะนำเล็กๆในการรับประทานมะเดื่อฝรั่ง
มะเดื่อฝรั่งสามารถรับประทานสดได้เลย โดยมะเดื่อฝรั่งสดนั้นมีแคลอรี่ต่ำและเป็นยังอาหารว่างที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ยังนำมาใส่ในสลัดหรือของหวานได้อีกด้วย หรืออาจจะนำมาเดื่อสดมาทำแยมทานคู่กับขนมปังเป็นมื้อเช้าก็ได้ นอกจากนี้ในมะเดื่อฝรั่งแห้งมีน้ำตาลและแคลอรี่สูงจึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ และมะเดื่อแห้งนี้ยังมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการท้องผูกได้มากกว่ามะเดื่อสดอีกด้วย อีกทั้งใบมะเดื่อยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่สูงมาก สามารถนำมาตากแห้งทำเป็นใบชาได้
ข้อมูลอ้างอิง : www.healthline.com & www.pobpad.com